วิชาชีพกายภาพบำบัดได้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เฟื่อง สัตย์สงวน
(บิดาแห่งวงการกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย)
เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนกายภาพบำบัดขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2508
โดยขึ้นอยู่กับภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์
และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ชื่อในขณะนั้น
ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล)
และได้มีวิทยาศาสตร์บัณฑิตวิทยาศาสตรบัณฑิตสาขากายภาพบำบัด
ออกมารับใช้สังคมเป็นรุ่นแรกในปี พ.ศ. 2510
ซึ่งต่อมาได้มีการเริ่มก่อตั้ง “ชมรมกายภาพบำบัด”
ขึ้นเมื่อ 1 มกราคม 2513 โดยมี นางสาวกานดา
ใจภักดี เป็นประธานชมรม
และได้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการชมรมเป็นระยะๆ
เพื่อพัฒนาวิชาชีพกายภาพบำบัด
โดยเผยแพร่ความรู้ทางด้านวิชาการสู่ประชาชน
ทางสถานีวิทยุ ท.ท.ท. เดือนละ 1 ครั้ง (30 นาที)
และได้ดำเนินการขอเสนอจัดตั้ง
“สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย” ต่อทางการ
(กองกำกับการสันติบาล
และสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ)
ซึ่งนักกายภาพบำบัดที่เป็น
หัวเรี่ยวหัวแรงในการติดต่อประสานงานจนสามารถจัดตั้งสมาคมฯ
เป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2516
ที่จะขอกล่าวถึงในที่นี้คือ นางสาวกานดา
ชวพัฒนากุล (ถึงแก่กรรม)
การดำเนินงานของสมาคมฯ (พ.ศ. 2516-17) ในปีแรก โดยมี นายประโยชน์
บุญสินสุข เป็นนายกสมาคมฯ
ได้เริ่มมีการติดต่อกับต่างประเทศ
เพื่อศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบโรคศิลปะสาขากายภาพบำบัด
และได้จัดพิมพ์ “วารสารกายภาพบำบัด”
ออกเผยแพร่สู่สมาชิก ในปี 2517-18 นายกสมาคมฯ
ท่านเดิมได้รับงานต่อมา
โดยได้เน้นหนักเกี่ยวกับงานด้านวิชาการกายภาพบำบัด
และได้จัดส่งผู้แทนสมาคมฯเข้าร่วมประชุมสหพันธ์กายภาพบำบัดโลก
(World Confederation for Physical Therapy: WCPT)
ครั้งที่ 7 ที่ประเทศคานาดา ในกลางปี 2517
นายสุรศักดิ์ ศรีสุข ได้รับหน้าที่นายกสมาคมฯ
สืบแทน และได้มุ่งเน้นในด้านประชาสัมพันธ์
สู่บุคคลภายนอกทั้งด้านวิทยุและหนังสือพิมพ์
ได้จัดส่งอาสาสมัครไปช่วยงานที่ศูนย์เด็กพิการปากเกร็ด
ตลอดจนจัดงานหาทุนเข้าสู่สมาคมฯ
และได้ร่วมกับโรงเรียนกายภาพบำบัดจัดตั้งอนุกรรมการพิจารณาหลักสูตร
นักศึกษากายภาพบำบัดปี 3, 4
ในปี พ.ศ. 2518- 2519 นายกสมาคมฯ ท่านเดิมได้ทำหน้าที่ต่อ
โดยพัฒนาวิชาชีพสู่ต่างประเทศ
ได้ริเริ่มผลักดันให้สมาคมฯ
ได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์กายภาพบำบัดโลก
(สำเร็จในปี 2521 ซึ่งWCPT
ได้มีหนังสือชี้แจงรับสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก)
นอกจากนี้ได้กระจายงานด้านวิชาการ
โดยจัดส่งวารสารกายภาพบำบัดไปตามโรงพยาบาลและโรงเรียนต่างๆ
ทั่วประเทศ
ซึ่งได้ผลทางด้านประชาสัมพันธ์ทางอ้อมด้วย
ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ และนักเรียน
นักศึกษาได้รู้จักวิชาชีพนี้มากยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ.
2519-2520 ได้มีการเปลี่ยนนายกสมาคมฯ คือ
นายสุดสาคร พุดโธ รับหน้าที่แทน
ได้พัฒนาวิชาชีพสืบเนื่องกันมาทั้งด้านวิชาการด้านเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน
และในวันที่ 21 ตุลาคม 2519
ได้มีประกาศพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ
สาขากายภาพบำบัด
โดยมีคำสั่งของคณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่
38….
โดยที่คณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดินพิจารณาเห็นว่า
การควบคุมการประกอบโรคศิลปะในปัจจุบัน
มีสาขาในการประกอบโรคศิลปะเพิ่มขึ้นคือ
สาขากายภาพบำบัด และสาขาเทคนิคการแพทย์
ดังนั้นเพื่อให้การควบคุมการประกอบโรคศิลปะได้เป็นไปอย่างรัดกุมและเหมาะสม
สมควรแก้คำนิยามคำว่าโรคศิลปะและบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในกฎหมายเสียใหม่ให้สอดคล้องกัน
คณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดินจึงมีคำสั่งดังนี้....
(6) กายภาพบำบัด คือ
การกระทำในการช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อบำบัด ป้องกัน
แก้ไข และฟื้นฟูการเสื่อมสมรรถภาพ
หรือความพิการของร่างกาย หรือจิตใจ
ด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด ซึ่งได้แก่ การดัด
การดึง การประคบ การนวด การบริหารร่างกาย
หรืออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของผู้ป่วย
ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการกระทำด้วยวิธีการต่างๆ
ดังกล่าว ตามหลักวิทยาศาสตร์
หรือการกระทำอื่นที่รัฐมนตรีประกาศเป็นวิธีการทางกายภาพบำบัด
หรือการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่รัฐมนตรีประกาศเป็นเครื่องมือกายภาพบำบัด
ในปี พ.ศ. 2520-2522 นายจิตตินทร์ จินดาดวงรัตน์
ได้รับหน้าที่นายกสมาคมฯ ติดต่อกัน 2 สมัย
งานทางด้านวิชาชีพกายภาพบำบัดได้ก้าวหน้าไปตามลำดับในทุกด้าน
ประชาชนเริ่มมีความเข้าใจในคำว่า “กายภาพบำบัด”
มากขึ้น คำว่า “หมอนวด” ค่อยๆ สูญหายไป
และในระหว่างนี้ได้มีประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการประกอบโรคศิลปะ
สาขากายภาพบำบัด ดังนี้
“ข้อ 18 ทวิ
ผู้ประกอบโรคศิลปะในสาขากายภาพบำบัดจะปฏิบัติต่อผู้ป่วยได้ต่อเมื่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้การวินิจฉัยโรคแล้ว
และเห็นสมควรให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัด
โดยให้คำแนะนำเป็นหนังสือแสดงสาเหตุของโรคและแนวทางในการรักษาแก่ผู้ประกอบโรคศิลปะ
ในสาขากายภาพบำบัด ทั้งนี้
ผู้ประกอบโรคศิลปะในสาขากายภาพบำบัดได้แต่เฉพาะยาที่ใช้ในวิธีทางกายภาพบำบัด
ซึ่งไม่ใช่ยากินหรือยาฉีด”
ในปี พ.ศ. 2522-2527 นายธงสิทธิ์ ตีรณศักดิ์
เป็นนายกสมาคมฯ บริหารงานติดต่อกัน 5 สมัย
ซึ่งความก้าวหน้าของวิชาชีพกายภาพบำบัดก็ได้เจริญขึ้นเรื่อยๆ
ทุกด้าน อาทิเช่น ย้ายที่ทำการสมาคมฯ
มาอยู่ที่โรงเรียนกายภาพบำบัด (ตึกสลากกินแบ่งชั้น
4) อย่างถาวร โดยได้รับความกรุณาจาก ศาสตราจารย์
นายแพทย์นที รักษ์พลเมือง
หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์
ออร์โธปิดิกส์และกายภาพบำบัด;
มีการเผยแพร่ทางโทรทัศน์ ในรายการ“ปัญหาชีวิตและสุขภาพ”;
รายการวิทยุ ท.ท.ท. ทุกวันอังคาร เวลา 08.35-09.00
น.
ซึ่งท่านผู้ฟังมีความสนใจรับฟังมากพอสมควรเพราะมีจดหมายมาสอบถามปัญหาต่างๆ
อยู่เสมอ;
ได้ร่วมก่อตั้งสหพันธ์กายภาพบำบัดแห่งเอเชีย
(Asian Confederation for Physical Therapy: ACPT
ประกอบด้วย ประเทศไทย, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์,
อินโดนีเซีย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น)
และประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการระหว่างประเทศแห่งเอเชียครั้งแรก;
พิจารณาเกี่ยวกับขอบเขต สิทธิ และหน้าที่
ตลอดจนหลักสูตรการศึกษาของเจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด;
คณะกรรมการบริหารสหพันธ์กายภาพบำบัดโลก (WCPT)
ได้ให้เกียรติเลือกสถานที่ที่กรุงเทพมหานคร
เป็นที่ประชุมการบริหารงานเป็นเวลา 1 สัปดาห์
ซึ่งเป็นผลทำให้กายภาพบำบัดของประเทศไทย
เป็นที่แพร่หลายรู้จักกันทั่วโลกมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ WCPT ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญชาวออสเตรเลีย
Miss Roberta Shepherd มาเปิดการอบรมเรื่อง C.P.
ในปี พ.ศ. 2525 ทำให้นักกายภาพบำบัดไทย
ได้รับความรู้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น
และในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารของ WCPT
ครั้งล่าสุดในสมัยนั้น
ผลปรากฏว่ามีผู้แทนจากประเทศไทย (นายธงสิทธิ์
ตีรณศักดิ์)
ได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานกรรมการบริหารคนที่ 3
ซึ่งเป็นการนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศอย่างมาก
ในรอบ 20 ปีแรกที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าวิชาชีพกายภาพบำบัดของไทยนั้น
ได้มีการพัฒนาเป็นไปตามลำดับ
ซึ่งสถาบันที่เกี่ยวข้องกับผลงานความก้าวหน้า
ประกอบด้วย โรงเรียนกายภาพบำบัดแหล่งผลิตบัณฑิต
สมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทยจุดศูนย์รวมของสมาชิกกายภาพบำบัด
และตัวนักกายภาพบำบัดที่กระจายกันทำงานอยู่ทั่วประเทศ
ซึ่งในสมัยนั้น
ได้มีนักกายภาพบำบัดที่เรียนจบแล้วออกไปรับใช้สังคมประมาณ
231 คน 36 จังหวัด 70 โรงพยาบาล
และคงอีกไม่นานนักคงจะมีนักกายภาพบำบัดครบทั้ง 76
จังหวัด ทุกโรงพยาบาลของประเทศไทย
ความก้าวหน้าของวิชาชีพกายภาพบำบัดได้มีการพัฒนามาตลอดเวลา
ไม่ว่า จะด้านวิชาการหรืองานวิจัย
เพราะได้มีการประชุมวิชาการ
หรือเปิดอบรมระยะสั้นมาอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ด้านการประกอบวิชาชีพส่วนตัวก็สามารถประกอบอาชีพอิสระ
เปิดคลินิกส่วนตัวได้เพราะได้มีการออกพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ
สาขากายภาพบำบัด
และในขณะนี้ความต้องการนักกายภาพบำบัดตามโรงพยาบาลต่างๆ
ทั้งของรัฐและเอกชน
ยังมีความต้องการนักกายภาพบำบัด
ไปประจำทำงานอีกมาก
ส่วนทางด้านประชาชน ก็ได้มีการรู้จักกับงานทางด้านกายภาพบำบัดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากได้รับการรักษาจากนักกายภาพบำบัดตามโรงพยาบาลต่างๆ
ผู้ป่วยตามแผนกกายภาพบำบัดเพิ่มขึ้นทุกปี
และเป็นผลจากด้านประชาสัมพันธ์ในทุกรูปแบบจากรายการ
“เพื่อสุขภาพ” ทางสถานีวิทยุ ท.ท.ท.,
จากรายการโทรทัศน์, จากหนังสือพิมพ์
หรือจากการจัดงานนิทรรศการด้านวิชาการสู่ประชาชน
ฯลฯ
ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิชาชีพกายภาพบำบัดของประเทศไทยได้มีความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
และเป็นที่ยอมรับของประชาชนมากขึ้นๆ
และคิดว่าอีกไม่นานเกินรอ
กายภาพบำบัดคงจะได้ออกไปรับใช้สังคมทั่วประเทศทั้งในเมืองและชนบท
|